สีของผักและผลไม้บ่งบอกอะไรได้บ้าง
สีสันของผักและผลไม้นอกจากจะสร้างความสะดุดตาให้กับเครื่องดื่มหรืออาหารจานนั้นๆ แล้ว ยังบ่งบอกถึงคุณค่าทางอาหารได้อีกด้วย ดังนั้นการเลือกกินผักและผลไม้ที่หลากหลายจึงทำให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วน นอกจากผักและผลไม้แต่ละชนิดจะมีคุณค่าทางอาหารแตกต่างกันแล้ว ยังให้พลังงานต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ ในผักและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรรอลชนิดไม่ดี (LDL) ไปเกาะที่เส้นเลือด จึงลดโอกาสเป็นโรคเส้นเลือดอุดตัน ป้องกันโรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคมะเร็งบางชนิดได้ด้วย ซึ่งพืชผักผลไม้แต่ละสีมีประโยชน์ดังนี้
- สีชมพูจนถึงสีแดงเข้ม มีสารต้านอนุมูลอิสระและไลโคปีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ และช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งป้องกันโรคปอดและโรคหัวใจ ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย และต้านมะเร็ง
- สีเขียว อุดมด้วยสารพฤกษเคมี สารสีเขียวเข้มที่อยู่ในผักจะมีเคโรทีนอยด์ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและเรตินา สารโฟเลตที่ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการผิดปกติของทากที่อยู่ในครรภ์ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด และช่วยยับยั้งปฏิกิริยาของสารก่อมะเร็งได้
- สีส้ม มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยในระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันเรตินา ช่วยป้องกันเซลล์ผิวหนังจากการถูกทำลาย และซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังอุดมด้วยโฟเลตและวิตามินบีที่ช่วยป้องกันความผิดปกติของทารกที่อยู่ในครรภ์ ผลไม้สีส้มอ่อนบางชนิดจะมีคริปโตแซนทิน (Cyptoxanthin) ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- สีเหลือง ผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองจะมีวิตามินซี แมงกานีส และเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของสารลูทีนและซีแซนทิน ช่วยลดความเสี่ยงต่อต้อกระจก และช่วยลดรอยกระดำบนผิวหนังที่เพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- สีน้ำเงินและสีม่วง มีสารแอนโทไชยานิน ช่วยชะลอการแก่ตัวของเซลล์ และป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารพฤกษเคมีที่ช่วยต่อต้านสารก่อมะเร็ง
สีขาว อุดมไปด้วยสารอัลลิซินซึ่งช่วยต้านการเกิดเนื้อร้าย
ผักและผลไม้ กินอย่างไรให้รูปร่างดี
นอกจากผักและผลไม้จะมีเส้นใยอาหารสูงแล้ว ยังประกอบไปด้วยเกลือแร่ วิตามิน อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ภาวะกระดูกพรุน โรคอ้วน โรคอัลไซเมอร์ สารชะลอความแก่ และสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
ดังนั้นการได้รับประทานผักและผลไม้ ไม่ว่าจะรับประทานแบบสดๆ นำมาปรุงอาหาร หรือทำเป็นเครื่องดื่ม ก็ควรรับประทานให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารในแต่ละวัน เช่น หากกินอาหารในหนึ่งวันประมาณ 100 กรัม ก็ควรกินผักและผลไม้ให้ได้มากกว่า 50 กรัม โดยเน้นที่ผักใบเขียว และผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด เพื่อไม่ให้ได้พลังงานจากแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป ขณะเดียวกันก็ลดอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู หนังสัตว์ เครื่องในสัตว์ และไขมันสัตว์ต่างๆ ซึ่งถ้าทำได้ตามนี้ นอกจากจะทำให้ไม่อ้วนแล้ว ยังทำให้มีผิวพรรณและสุขภาพที่ดี แถมลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ 20-30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว หรือคนที่ทานผักและผลไม้ยาก แนะนำให้นำมาปั่นรวมกันทำเป็นเครื่องดื่มแบบเย็นๆ ด้วยเครื่องปั่นสมูทตี้ก็ดี
คุณประโยชน์ทางโภชนาการ
- วิตามินเอ – ช่วยในการผลิตโรด็อปซิน (Rhodopsin หรือ Visual Purple) ซึ่งเป็นสารสีที่ไวต่อแสง ช่วยเรื่องการมองเห็นในความมืด ป้องกันการเกิดตาบอดในเวลากลางคืน ช่วยให้ผิวหนังเรียบ นุ่มเนียน สุขภาพดี ทำให้เนื้อเยื่อในร่างกายเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม และบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่จะทำลายเซลล์และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยสู้กับโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิตได้ แหล่งวิตามินเอที่สำคัญ คือ มะเขือเทศ แคนตาลูป เมลอน และมะละกอ รวมถึงผักและผลไม้ที่มีสีเข้มต่างๆ
- วิตามินซี – ช่วยในการผลิตและบำรุงรักษาคอลลาเจน ให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ เพราะสารคอลลาเจนมีหน้าที่หลักในการยึดเซลล์ผิวหนัง เหงือก และเอ็น ถ้ามีมากก็จะทำให้ผิวดูเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น ที่สำคัญ ยังช่วยเซลล์เม็ดเลือดขาวต่อสู้กับเชื้อโรค จึงมีส่วนช่วยในการสมานแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และช่วยชะลอความแก่ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต้อกระจก และบรรเทาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น แหล่งวิตามินซีที่สำคัญ คือ เซอร์รี่ ฝรั่ง พริกหวาน บรอกโคลี สตรอว์เบอร์รี่ แบล็กเคอร์แรนด์ ส้ม กีวี กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก เป็นต้น
- เบต้าแคโรทีน – เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพ ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และยังพบว่า เบต้าแคโรทีนช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชื่อทีเซลล์ (T cell) ให้ทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และยังช่วยดูแลรักษาผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่นหรือไม่ผ่องใส ช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตา เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เมื่อเบต้าแคโรทีนถูกย่อยสลายที่ตับก็จะได้เป็นวิตามินเอ สำหรับใช้บำรุงและซ่อมแซมส่วนต่างๆ ต่อไป แหล่งเบต้าแคโรทีนที่สำคัญ คือ พืชสีเหลืองและสีส้ม เช่น แครอต ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียวอย่างบรอกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง
- แคลเซียม – คือสารอาหารชั้นเลิศในการเสริมสร้างกระดูก และฟัน ความสำคัญของแคลเซียมนอกจากเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูกและฟันแล้ว ยังมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายอีกหลายระบบ เช่น ระบบประสาท เพราะแคลเซียมเป็นตัวช่วยในการนำกระแสประสาทของเซลล์ภายในระบบประสาท รวมถึงกระบวนการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจที่ต้องทำงานตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยในการแข็งตัวของเลือด เป็นตัวนำสารอาหารที่สำคัญผ่านเข้าออกเซลล์ และป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุน แหล่งแคลเซียมที่สำคัญ ได้แก่ นมสด เต้าหู้ ผักใบเขียว ปลา และสัตว์น้ำอื่นๆ ที่รับประทานได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาซิว กุ้งฝอย กะปิ เป็นต้น
ประโยชน์ของผัก ผลไม้ และธัญพืช กับความงาม
- บีตรู้ต – เป็นผักที่มีโฟเลตสูง ช่วยในการควบคุมระบบย่อยอาหารให้ทำงานเป็นปกติ กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ไตและตับทำงานดีขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นและเพิ่มความแข็งแรงให้ลำไส้ใหญ่ ทำให้หลอดเลือดสะอาด ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี
- เซเลอรี่ (ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) – มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดระบบทางเดินปัสสาวะและขับปัสสาวะ มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่มีโพแทสเซียมสูง จึงช่วยลดความดันโลหิต และช่วยในการล้างพิษออกจากร่างกาย
บรอกโคลีและพืชตระกูลกะหล่ำ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งทรวงอก และมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือดด้วย - ผักกาดขาว – อุดมไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และกรดโฟลิก ช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ อีกทั้งมีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้
- ผักคะน้า สะระแหน่ และผักใบเขียวต่างๆ – อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีลูทีนและเบต้าแคโรทีนสูง จึงช่วยต้านมะเร็ง ในสะระแหน่ จะมีฤทธิ์กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยในการหลั่งน้ำย่อย และมีวิตามินซีช่วยรักษาอาการหวัด
- ขิงและตะไคร้ – ตะไคร้ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด ขับปัสสาวะ แก้ปวดเมื่อย และท้องเสีย ส่วนขิงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ และขับลมเช่นเดียวกับตะไคร้ คนที่มีอาการไอหรือมีเสมหะมาก ให้นำขิงไปฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ จะช่วยบรรเทาอาการได้
- มะระ – รสขมของมะระช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จึงมีคุณสมบัติช่วยทำให้เจริญอาหารและมีแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอะซิน และเบต้าแคโรทีน ทำให้สุขภาพผิวพรรณดี นอกจากนี้ยังเป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยบำรุงน้ำดี แก้ตับ-ม้ามอักเสบ ขับพยาธิ
- แตงกวา – เป็นผักที่มีน้ำมาก มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ กระตุ้นการขจัดสารพิษผ่านทางเดินปัสสาวะ ช่วยเพิ่มความสดชื่น ที่สำคัญคือ มีสารประกอบจำเป็นที่ช่วยบำรุงผิวและเส้นผมให้มีสุขภาพดี
- ฟักทอง – อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง บำรุงตับ ไต นัยน์ตา ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผักโขม – มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมในวัยชรา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคความจำเสื่อมอีกด้วย
- แครอต – อุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิว และเนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก ช่วยลดคอเลสเตอรอล
- มะเขือเทศ – ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เนื่องจากมีสารไลโคปีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก
- พริกต่างๆ – อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยลดความเสื่อมของกล้ามเนื้อ ยับยั้งการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายจากโรคหืด หลอดลมอักเสบ และอุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้เล็บผิวหนัง และเส้นผมเงางาม มีสุขภาพดี
- กีวี – อุดมด้วยวิตามินซี เส้นใยอาหาร สารพฤกษเคมี คลอโรฟิลล์ และแอกทินิดีน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความดันโลหิต และทำให้หัวใจมีสุขภาพดี
- ลูกสำรอง – มีสรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย รักษาโรคผิวหนัง และคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เนื้อวุ้นสำรองมีฤทธิ์เป็นยาระบาย กินแล้วอิ่มท้อง ช่วยในการลดน้ำหนักได้
- องุ่น – ช่วยในการฟอกล้างผิวหนัง ลำไส้ ตับ และไตให้สะอาดอยู่เสมอ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษามูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง และอวัยวะต่างๆ ทำงานได้เป็นปกติ อีกทั้งให้พลังงานสูงและร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้รวดเร็ว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยเกลือแร่ชนิดต่างๆ จึงช่วยบำรุงเลือดและเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย
- เอพริคอต – อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี จึงมีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณให้สดชื่น สุขภาพดี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
- แอ๊ปเปิ้ล – ช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย มีสารที่ช่วยนำสารพิษในร่างกายไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า มีใยอาหารสูง จึงช่วยในการทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย มีวิตามินและเกลือแร่ที่เหมาะสำหรับผู้ลดน้ำหนัก มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยย่อยไขมันชนิดต่างๆ
- ฟัก (มะเดื่อฝรั่ง) – มีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรค ช่วยระงับการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติหลายชนิด คือกลูโคส ฟรักทส และชูโครสในปริมาณมาก จึงเป็นแหล่งพลังงานชั้นดี
- ฝรั่ง – มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ชะลอการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ช่วยให้แผลหายเร็ว กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและสร้างภูมิคุ้มกัน จึงป้องกันการเป็นหวัดได้
- แตงโม – มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้สบายท้อง ลดความดันโลหิต
- มะเฟือง – อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ให้พลังงานสูง ควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย และช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น สำหรับน้ำมะเฟืองคั้นถือเป็นตำรายาโบราณ มีสรรพคุณแก้รอ้นใน ดับกระหาย ลดความร้อนภายในร่างกาย ช่วยถอนพิษ รวมถึงบรรเทาอาการที่เกิดจากนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
- มะละกอ มะม่วง – ช่วยในการทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร ซึ่งทั้งมะละกอและมะม่วงมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อพาเพอิน (Papain) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเอนไซม์เพปซิน (Pepsin) ซึ่งเป็นน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็ว เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
- สับปะรด – มีเอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) ที่ช่วยในการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหาร และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูกในผู้ที่ป่วยเป็นหวัดหรือมีเสมหะมาก
- กล้วย – อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส วิตามินเอ ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท ช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ช่วยควบคุมความดันโลหิต ทั้งกล้วยสดและกล้วยตากแห้งอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ชูโครส ฟรักโทส และกลูโคส ซึ่งน้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสเลือด ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กล้วยเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที เหมาะสำหรับนักกีฬาที่พักระหว่างแข่งขันและต้องการพลังงานอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ท้องเสีย ท้องผูก และโรคซึมเศร้า
- ผลไม้จำพวกส้ม – ได้แก่ ส้ม เลมอน มะนาว เกรปฟรุต ถือเป็นยอดผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีและเส้นใยอาหารสูง รวมทั้งสารอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยป้องกันโรคหวัด ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด รวมทั้งลดปริมาณไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดช่วยในการสร้างกระดูก ป้องกันการเกิดนิ่วในไตมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตลอดจนช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย
- อะโวคาโด – มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดมีกลูตาไทโอนช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง เสริมความแข็งแกร่งให้ระบบภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญ มีวิตามินอีสูง จึงช่วยบำรุงรักษาสุขภาพผิวให้สวยงามชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญไขมันได้ดี
- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยต้านเชื้อไวรัสแบคทีเรีย มีผลดีต่อระบบไหลเวียนเลือด มีฤทธิ์คล้ายยาปฏิชีวนะ และมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน
- ผลไม้จำพวกแตงชนิดต่างๆ เช่น เมลอน แคนตาลูป แตงญี่ปุ่น เป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ จึงช่วยล้างพิษให้กับร่างกาย รวมถึงมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ด้วยคุณสมบัติที่มีเนื้อฉ่ำน้ำ จึงเหมาะจะรับประทานในยามที่ร่างกายสูญเสียน้ำ เช่น หลังออกกำลังกาย หรือขณะท้องเสียถ่ายเป็นน้ำ
- น้ำนมถั่วเหลือง – น้ำนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ ที่นำถั่วเหลืองมาบดด้วย เครื่องทำน้ำเต้าหู้ หรือ ปั่นด้วย เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ช่วยให้ไขมันไม่อุดตันเส้นเลือด จึงลดการเกิดโรคหัวใจ แถมยังป้องกันภาวะกระดูกพรุนและโรคท้องผูกอีกด้วย
- ว่านหางจระเข้ – ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยทำให้กระบวนการเมแทบอลิซึมในร่างกายทำงานได้ดี ช่วยให้เส้นเลือดในสมองแข็งแรงและยืดหยุ่นรวมถึงมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียมและเหล็ก
- แก้วมังกร – มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ช่วยดูดซึมไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด มีวิตามินซี คลอโรฟิลล์ และให้พลังงานต่ำ รับประทานเพื่อดับร้อน บำรุงผิวพรรณให้สดใส และเหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีปริมาณเนื้อเยอะ จึงทำให้อิ่มเร็ว
- อัลมอนด์ – อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 2 วิตามินอี แคลเซียม และใยอาหาร จึงช่วยระบบขับถ่ายชะลอความแก่ก่อนวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง บำรุงประสาทและปอด ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อินทผลัม – มีรสหวานจัด กลิ่นหอม อุดมไปด้วยน้ำตาล แคลเซียม และฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี
- ลูกเดือย – พืชในตระกูลข้าวชนิดหนึ่ง ซึ่งชาวจีนถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยบำรุงร่างกายได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แพทย์แผนจีนจัดให้ลูกเดือยมีฤทธิ์เย็น ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปันสาวะ ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ลดการเกิดกระ แก้ปัญหาทางเดินหายใจ ไขข้อ กระดูก เหน็บชา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และยังช่วยลดการเกิดมะเร็ง เพราะมีสารค็อกซีโนไลด์ (Coxenolide) ซึ่งมีสรรพคุณยับยั้งการเกิดเนื้องอก อีกทั้งยังมีฟอสฟอรัส ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกอยู่ในปริมาณสูง วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และบี 2 รวมถึงซิลิคอน (Silicon) ที่ช่วยบำรุงผมให้ดกดำเงางาม
- น้ำนมข้าวกล้อง – ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ฟื้นฟูสภาพเซลล์และชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ในน้ำนม ข้าวกล้องยังมีสารที่ชื่อกาบา (GABA หรือ Gamma aminobutyric Acid) ซึ่งเป็นกรดแอมิโนชนิดหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสารท มีสรรพคุณบำรุงประสาท ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ รวมถึงมีสารต้านอนุมูลอิสระ